ซิงตรา (Sintra) เมืองมรดกโลก
ซิงตราเป็นเมืองเล็กๆ ห่างจากลิสบอนเพียง 28 กม. เดินทางโดยรถไฟแค่ 45 นาทีก็ถึงแล้ว ใครที่มาลิสบอนก็มักจะเผื่อเวลามาเที่ยวเมืองนี้ด้วยเสมอ ที่นี่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นเมืองมรดกโลกในปี 1995 สถานที่หลายแห่งในเมืองนี้ก็ได้รับการขึ้นทะเบียนด้วย
การเดินทางในเมืองซิงตราสะดวกสบาย จะเดินเท้า นั่งรถตุ๊กตุ๊ก (ใช่แล้ว! รถตุ๊กตุ๊กแบบเมืองไทยเลย) หรือนั่งรถประจำทางก็ตามแต่สะดวก สถานที่แต่ละแห่งมีรถโดยสารไปถึงหน้าทางเข้า และเนื่องจากที่นี่เป็นเมืองฮิตมาก รถโดยสารจึงแน่นเป็นปลากระป๋องแทบจะขี่คอกัน โดยเฉพาะช่วงเวลาขากลับยอดฮิต หรือราว 4-5 โมงเย็น
คินตา ดา ฮือกาไลรา (Quinta da Regaleira)
เราเริ่มต้นเดินเท้าจากสถานีรถไฟไปยังบ้านเศรษฐี คินตา ดา ฮือกาไลรา (Quinta da Regaleira) หนึ่งในบ้านที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก เดิมที่นี่สร้างโดยตระกูลฮือกาไลรา พ่อค้าเศรษฐีจากเมืองปอร์โต้ (Porto) ภายหลังขายบ้านนี้ต่อให้กับ คารวาลลู มองเตโร (Carvalho Monteiro) เศรษฐีชาวบราซิล ผู้เข้ามาเปลี่ยนแปลงทำให้บ้านหลังนี้ไม่เหมือนใครในโลกนี้ เพราะมองเตโรวางแผนสร้างที่นี่ใหม่ให้ตอบสนองความต้องการ ความเชื่อ และจินตนาการอันล้ำลึก โดยมีสถาปนิกชาวอิตาลีมาช่วยสร้างจินตนาการนั้นให้เป็นจริง
เขาผสมผสานการตกแต่งสไตล์ต่างๆ ทั้งโรมัน โรมัน กอธิก เรอเนสซองซ์ และ มานูเอลไลน์ (สไตล์ กอธิกของโปรตุเกส) เข้าไว้ด้วยกันอย่างลงตัวและเป็นเอกลักษณ์ จากพื้นที่ทั้งหมด 24 ไร่ คาดว่าน่าจะเป็นพื้นที่ของตัวบ้านเพียงแค่ 10% ที่เหลือเป็นสวนป่า บ่อน้ำลึกลับ ทะเลสาบจำลอง โบสถ์ขนาดย่อม พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำส่วนตัว อุโมงค์เขาวงกต ฯลฯ สุดแล้วแต่จะจินตนาการได้
ใครวางแผนจะมาที่นี่ ควรเผื่อเวลามาเดินเยอะๆ เนื่องจากเป็นบ้านที่เดินผจญภัยได้อย่างสนุกไม่มีเบื่อเลยทีเดียว
พระราชวังเปนา (Palácio da Pena หรือ Pena National Palace)
จากนั้นเราไปต่อกันที่พระราชวังเปนา (Palácio da Pena) ปราสาทที่ได้รับขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกเช่นกัน ที่นี่ตั้งอยู่บนยอดเขาซิงตรา ยอดเขาที่สูงที่สุดของเมือง
จากประตูทางเข้า เราสามารถเลือกได้ว่าจะเดินเองผ่านสวนขนาดยักษ์ที่มีต้นไม้มาจากทั่วโลก หรือจะนั่งรถชัทเทิลบัสขึ้นไปยังปราสาทเลยก็ได้
ที่นี่เริ่มต้นจากการเป็นโบสถ์เล็กๆ จนขยายใหญ่โตมาเป็นพระราชวังฤดูร้อนสำหรับราชวงศ์โปรตุเกสในภายหลัง
ก้าวแรกที่เข้ามา ก็รู้สึกได้ถึงความสนุกสนานและสีสันสดใสตามสไตล์เมืองอบอุ่น มีการผสมผสานสไตล์การออกแบบสมัยยุคกลางรวมกับแขกมัวร์เข้าด้วยกัน ผนังบางส่วนประดับด้วยกระเบื้องเซรามิกวาดมือสไตล์โปรตุเกส (Azulejo) ภายในปราสาทยังมีกลิ่นอายการตกแต่งคล้ายกับปราสาทแถวแม่น้ำไรน์ของเยอรมัน เนื่องจากสถาปนิกผู้รับผิดชอบ เป็นชาวเยอรมันที่เชี่ยวชาญการออกแบบสไตล์นี้ ปราสาทแห่งนี้จึงผสมผสานสไตล์การออกแบบของยุโรปเข้าด้วยกันอย่างประหลาดแต่ลงตัว
ชมความสวยงามที่มนุษย์สร้างกันแล้ว ยังมีความสวยงามน่าพิศวงที่ธรรมชาติสร้าง เรากำลังจะไปกันที่เมืองกัชไกช์ (Cascais) เพื่อเที่ยวชม “ปากขุมนรก” (Boca do Inferno) ไปลองค้นหากันดีกว่า ว่าปากขุมนรกมันเป็นอย่างไร
กัชไกช์ (Cascais) แหล่งตากอากาศริมทะเล
กัชไกช์ เป็นเมืองชายทะเลขนาดกลาง กะทัดรัด อยู่ติดริมมหาสมุทรแอตแลนติกอันกว้างใหญ่ไพศาล ในอดีต ที่นี่เคยเป็นหมู่บ้านชาวประมงเก่าแก่ และเป็นเมืองพักตากอากาศของราชวงศ์โปรตุเกสด้วย ปัจจุบัน ที่นี่ยังคงเป็นเมืองพักตากอากาศยอดฮิตของคนโปรตุเกสไม่เคยเปลี่ยนแปลง
ปากขุมนรก ‘โบคา ดู อินแฟร์โน’ (Boca do Inferno)
เราเลือกมากัชไกช์ด้วยเหตุผลง่ายๆ เพราะอยากรู้จักหน้าตาปากขุมนรกว่าเป็นอย่างไร ที่สำคัญเมืองนี้ห่างจากตัวเมืองลิสบอนเพียงแค่ 30 กม. เป็นเหมือนชานเมืองของลิสบอนเลยก็ว่าได้ หากใครต้องการหลีกหนีความวุ่นวายของเมืองใหญ่ และมาสูดกลิ่นทะเล แนะนำให้นั่งรถไฟตรงมาที่เมืองนี้เลย เพียงแค่ 40 นาทีก็ได้นั่งชมวิวสวยๆ แล้ว
จุดหมายของเราอยู่ห่างจากสถานีรถไฟเพียงแค่ 2 กม. ออกจากสถานีรถไฟไปนิดเดียวก็ถึงย่านใจกลางเมือง เมืองที่นี่มาแนววินเทจ ตึกรามบ้านช่องเก่ามีสไตล์แต่ไม่โทรม พื้นทางเดินทำเป็นลวดลายคลื่นน้ำ ดูสวยเข้ากับเมืองทีเดียว แม้แต่ตู้ไปรษณีย์ที่นี่ ก็ยังเป็นแนววินเทจไม่แพ้ตัวเมือง
ระหว่างทางไป มีจุดให้แวะชมหลายแห่ง ทั้งวังเก่าและพิพิธภัณฑ์ เป็นเส้นทางเดินสะดวกสบายและมีเลนจักรยานขนานคู่กันไปตลอดทาง เดินชมวิวไปเรื่อยๆ รู้ตัวอีกทีก็มาอยู่ที่ริมชายฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติก คลื่นที่นี่รุนแรงมากและส่งเสียงคำรามน่ากลัว กัดเซาะชายฝั่งหินจนเป็นรูพรุน ยิ่งเข้าไปใกล้จุดหมาย ยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ จนกัดเซาะเป็นโพรงหน้าผาขนาดใหญ่ และนั่นก็คือที่มาของ โบคา ดู อินแฟร์โน หรือ ปากขุมนรกแห่งนี้นี่เอง
นอกจากสองเมืองนี้แล้ว โปรตุเกสยังมีอีกหลายเมืองที่น่าสนใจ ค่าครองชีพก็ไม่แพง ความเป็นอยู่ดี อาหารอร่อย ที่สำคัญประเทศนี้เป็นต้นกำเนิดของ ทองหยิบ ทองหยอด ฝอยทอง และทาร์ตไข่ ยิ่งถ้าได้มีโอกาสมาชิมทาร์ตไข่เจ้าอร่อย จะต้องติดใจจนอยากกลับมาที่ประเทศนี้อีกแน่นอน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น